ครูโสภณ เพชรสุทธิ์
โรงเรียนรัษฎานุประดิษฐ์อนุสรณ์ วังวิเศษ ตรัง
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
เอกภพยุคอดีต
แบบทดสอบรายจุดประสงค์ วิชาโลกและดาราศาสตร์(สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์)
เรื่องเอกภพ
แบบจำลองเอกภพยุคอดีต
๑.แบบจำลองเอกภพชาว สุเมเรียน ๒.แบบจำลองเอกภพชาวบาบิโลน ๓.แบบจำลองเอกภพยุคกรีก ๔.แบบจำลองเอกภพของ เคปเลอร์ ๕.แบบจำลองเอกภพของ กาลิเลโอ
.ช่วงเวลาประมาณ๗,๐๐๐ปีก่อน ค.ศ.
๒.โลกแบน
๓. โลกเป็นศูนย์กลาง
๔. เอกภพคือท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆเคลื่อนที่ไปตามกาลเวลาตามการบันดาลของเทพเจ้า
๑.ช่วงเวลา๒,๐๐๐-๕๐๐ปีก่อน ค.ศ.
๒.มีฤดูกาลเพาะปลูก
๓.โลกแบน
๔. โลกเป็นศูนย์กลาง
๕. เอกภพคือท้องฟ้าที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆเคลื่อนที่ไปตามกาลเวลาตามการบันดาลของเทพเจ้า
๑.ช่วงเวลา ๒๓๐-๓๘๔ปีก่อน ค.ศ.
๒.อาศัยความรู้ของชาวสุเมเรียนและบาบิโลน
๓.ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิต
๔.อริสคาร์คัส ซามอสเป็น บุคลแรกที่ระบุว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และโลกโคจรครบ ๑ รอบเป็นเวลา ๑ปี
๕.อริสโตเติล พบว่าโลกทรงกลมโดยสังเกตดาวฤกษ์รอบดาวเหนือ
๖.ทอเลมี เชื่อว่าโลกแบน อยู่กับที่ดวงดาวเคลื่อนที่รอบโลก ๑.ช่วงเวลา ค.ศ.๑๔๗๓-๑๖๓๐
๒.โคเพอร์นิคัส อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม
๓. ทิโค บราห์ ได้สังเกตจดบันทึกการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์เป็นเวลา๒๐ปี
๔.เคปเลอร์ อาศัยข้อมูลของ บราห์และได้บันทึกข้อมูลดาวเคราะห์เพิ่มเติมแล้วสรุปว่าดาวเคราะห์เคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีซึ่งต่อมายอมรับเป็นกฏการเคลื่อนที่ ๓ ข้อของเคปเลอร์ ๑.ช่วงเวลา ค.ศ.๑๕๖๔-๑๖๔๒
๒.เป็นคนแรกที่ใช้กล้องโทรทัศน์สังเกตทางดาราศาสตร์
๓.พบผิวดวงจันทร์เป็นหลุมเป็นบ่อ
๔.พบบริวารดาวพฤหัสจำนวน ๔ดวงเป็นการยืนยันว่าวัตถุท้องฟ้าโคจรรอบวัตถุท้องฟ้าอื่นที่ไม่ใช่โลก
๕.พบดาวเสาร์อยู่ไกลที่สุดและเชื่อว่ามีดวงดาวอื่นๆอยู่
๖.เชื่อว่าเอกภพมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางระบบสุริยะ
๗.เซอร์ไอแซก นิวตัน ค้นพบแรงโน้มถ่วง
วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ไบโอม Biom
ไบโอม
(Biomes)
ไบโอม (biomes) หรือชีวนิเวศ หมายถึง ระบบนิเวศที่มีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และ ปัจจัยทางชีวภาพ ที่คล้ายคลึงกัน
ไบโอมบนบก
ไบโอมบนบก (Terrestrial biomes) ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเป็นตัวกำหนด ไบโอมบนบกที่สำคัญ ได้แก่ ไบโอมป่าดิบชื้น ไบโอมป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น ใบโอมทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น ไบโอมสะวันนา ไบโอมป่าสน ไบโอมทะเลทราย ไบโอมทุนดรา เช่น
• ป่าดิบชื้น (Tropical rain forest)
พบได้ในบริเวณใกล้เขตเส้นศูนย์สูตรของโลกในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาเอเชียตอนใต้ และบริเวณบางส่วนของหมู่เกาะแปซิฟิก ลักษณะของภูมิอากาศร้อนและชื้น มีฝนตกตลอดปี ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 200 – 400 เซนติเมตรต่อปี ในป่าชนิดนี้พบพืชและสัตว์หลากหลายพันสปีชีส์ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก
• ป่าผลัดใบในเขตอบอุ่น (Temperate deciduous forest)
พบกระจายทั่วไปในละติจูดกลาง ซึ่งมีปริมาณความชื้นเพียงพอที่ต้นไม้ใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดี โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100 เซนติเมตรต่อปี และมีอากาศค่อนข้างเย็น ในป่าชนิดนี้และต้นไม้จะทิ้งใบหรือผลัดใบก่อนฤดูหนาว และจะเริ่มผลิใบอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว ต้นไม้ที่พบมีหลากหลายทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม รวมถึงไม้ล้มลุก
• ป่าสน (Coniferous forest)
เป็นป่าประเภทเขียวชอุ่มตลอดปร พบได้ทางตอนใต้ของประเทศแคนนาดา ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปเอเชียและยุโรป ในเขตละติจูดตั้งแต่ 45 – 67 องศาเหนือ ลักษณะของภูมิดากาศมีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน อากาศเย็นและแห้ง พืชเด่นที่พบได้แก่ พืชจำพวกสน เช่น ไพน์ (Pine) เฟอ (Fir) สพรูซ (Spruce) และเฮมลอค เป็นต้น
• ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น (Temperate grassland)
รู้จักกันในชื่อทุ่งหญ้าแพรี่ (Prairie) ในตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือและทุ่งหญ้า สเตปส์ (Steppes) ของประเทศรัสเซีย สภาพภูมิอากาศมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 25 – 50 เซนติเมตรต่อปี ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่นนี้เหมาะสำหรับการทำกสิกรและปศุสัตว์ เพราะดินมีความอุดมสมบูรณ์สูงมีหญ้านานาชนิดขึ้นอยู่ ส่วนใหญ่พบมีการทำเกษตรกรรมควบคู่ในพื้นที่นี่ด้วย
• สะวันนา (Savanna)
เป็นทุ่งหญ้าที่พบได้ในทวีปแอฟริกาและพบบ้างทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย ลักษณะของภูมิอากาศร้อน พืชที่ขึ้นส่วนใหญ่เป็นหญ้าและมีต้นไม้กระจายเป็นหย่อม ๆ ในฤดูร้อนมักเกิดไฟป่า
• ทะเลทราย (Desert)
พบได้ทั่วไปในโลก ในพื้นที่มีปริมาณฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่า 25 เซนติเมตรต่อปี ทะเลทรายบางแห่งร้อนมากมีอุณหภูมิเหนือผิวดินสูงถึง 60 องศาเซลเซียสตลอดวัน บางวันแห่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น พืชที่พบในไบโอมทะเลทรายนี้มีการป้องกันการสูญเสียน้ำ โดยใบลดรูปเป็นหนาม ลำต้นอวบ เก็บสะสมน้ำดี ทะเลทรายที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่ ทะเลทรายซาฮารา (Sahara) ในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายโกบี (Gobi) ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและทะเลทรายโมฮาวี (Mojave) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
• ทุนดรา (Tundra)
เป็นเขตที่มีฤดูหนาวค่อนข้างยาวนาน ฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ ลักษณะเด่นคือ ชั้นของดินที่อยู่ต่ำกว่าจากผิวดินชั้นบนลงไปจะจับตัวเป็นน้ำแข็งถาวร ทุนดราพบเพียงตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ และยูเรเซีย พบพพืชและสัตว์อาศัยอยู่น้อยชนิด ปริมาณฝนน้อยในฤดูร้อนช่วงสั้น ๆ น้ำแข็งที่ผิวหน้าดินละลาย แต่เนื่องจากน้ำไม่สามารถซึมผ่านลงไปในชั้นน้ำแข็งได้ในระยะสั้น ๆ พืชที่พบจะเป็นพวกไม้ดอกและไม้พุ่ม นอกจากนี้ยังพบสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เช่น ไลเคนด้วย
ไบโอมในน้ำ
ไบโอมในน้ำที่พบเป็นองค์ประกอบหลักใบไบโอสเฟียร์ประกอบด้วย ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes) และไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine Biomes) และพบกระจายอยู่ทั้งเขตภูมิศาสตร์ในโลกนี้
• ไบโอมแหล่งน้ำจืด (Freshwater biomes)
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำนิ่งซึ่งได้แก่ ทะเลสาบ สระ หนอง หรือบึง กับแหล่งน้ำไหล ได้แก่ ธารน้ำไหลและแม่น้ำ เป็นต้น
• ไบโอมแหล่งน้ำเค็ม (Marine biomes)
โดยทั่วไปประกอบด้วยแหล่งน้ำเค็ม ซึ่งได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งพบได้ในปริมาณมากถึงร้อยละ 71 ของพื้นที่ผิวโลก และมีความลึกมากโดยเฉลี่ยถึง 3,750 เมตร ไบโอมแหล่งน้ำเค็มจะแตกต่างจากน้ำจืดตรงที่มีน้ำขึ้นน้ำลงเป็นปัจจัยกายภาพสำคัญ นอกจากนี้ยังพบช่วงรอยต่อของแหล่งน้ำจืดกับน้ำเค็มที่มาบรรจบกัน และเกิดเป็นแหล่งน้ำกร่อยซึ่งมักพบบริเวณปากแม่น้ำ
ระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น
เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมหรือทดแทนธรรมชาติในกระบวนการต่างๆ โดยจำแนกออกเป็น 2 ระบบนิเวศย่อยคือ ระบบนิเวศกึ่งธรรมขาติหรือระบบนิเวศชนบท-เกษตรกรรม และระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม
1.ระบบนิเวศกึ่งธรรมขาติ หรือระบบนิเวศชนบท-เกษตรกรรม เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต การหมุนเวียนของพลังงานและสารอาหาร เช่น การเพาะปลูกในพื้นที่ต่างๆ ตัวอย่างของระบบนิเวศนี้ ได้แก่ การเพาะปลูกในพื้นที่ต่างๆ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ บ่อ บ่อเลี้ยงปลา ตู้เลี้ยงปลา เป็นต้น
2.ระบบนิเวศเมืองและอุตสาหกรรม เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนร่วมหรือแทนที่ โดยนำเอาวัตถุดิบจากระบบนิเวศธรรมชาติและจากระบบนิเวศกึ่งธรรมชาติมาแปรสภาพให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีลักษณะต่างไปจากเดิม เพื่อใช้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ตัวอย่างขององค์ประกอบในระบบนิเวศนี้ ได้แก่ อาคาร ตลาด สนามเด็กเล่น วัด โรงพยาบาล ห้องสมุด สวนสาธารณะ สวยสัตว์ เป็นต้น
ที่มาของข้อมูล:
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/biomes/index.html
http://bm-tune.blogspot.com/2010/11/blog-post_10.html
วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562
วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561
การรักษาดุลยภาพของน้ำและสารในร่างกายมนุษย์
ไต
รูปแสดง ท่อหน่วยไต ส่วนต่างๆ ให้นักเรียนอธิบายกลไกที่ทำให้น้ำปัสสาวะมีสีใส(ปกติ สีเหลือง)อ่อน
ตอบ รายบุคล


รูปแสดง ท่อหน่วยไต ส่วนต่างๆ ให้นักเรียนอธิบายกลไกที่ทำให้น้ำปัสสาวะมีสีใส(ปกติ สีเหลือง)อ่อน
ตอบ รายบุคล
วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
เซลล์ เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต
แบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามลักษณะของการมีเยื่อหุ้มนิวเคลียสคือ
- โปรคาริโอติกเซลล์
(Protokaryotic
cell ) เป็นเซล์ของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำได้แก่
ไซยาโน แบคทีเรีย (cyanobacteria) แบคทีเรีย (bacteria) และไมโคพลาสมา (mycoplasma) มีสารพันธุกรรม
อยู่ในบริเวณโครงสร้างที่เรียกว่า นิวคลีออยด์ ( nucleoid) ที่ปราศจาก
เยื่อหุ้มนิวเคลียส ( nuclear membrane) และไม่มีโปรตีนฮีสโตน (histone) ภายใน ไซโตพลาสซึม( cytoplasm)
ไม่มีออร์แกแนลชนิดที่มีเยื่อหุ้ม
(membrane organelles) และโครงร่างภายในไซโตพลาสซึม (cytoskeleton)
- ยูคาริโอติกเซลล์
(Eukaryotic
cell) เป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
พวกเห็ด รา พืช และสัตว์ เซลล์ชนิดนี้มีขนาดใหญ่กว่าชนิดแรก
และมีนิวเคลียสที่เห็นได้ชัดเจน แยกจาก บริเวณไซโตพลาสซึม และมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
(nuclear membrane) หุ้มรอบ สารพันธุกรรม ซึ่งมีโปรตีนฮีสโตน เป็นส่วนประกอบ
นอกจากนี้ยังพบทั้ง ออร์แกแนล ที่มีเยื่อหุ้มจำนวนหลายชนิด
รวมทั้งออร์แกแนลที่ไม่มีเยื่อหุ้มอยู่ภายในไซโตพลาสซึม
เซลล์สิ่งมีชีวิตสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้ 3 ประเภท
ตามความแตกต่างขององค์ประกอบ ภายในเซลล์ คือ เซลล์สัตว์ เซลล์พืช
และเซลล์ของแบคทีเรียโดย เซลล์สัตว์ แตกต่างจากเซลล์พืชตรงที่
เซลล์สัตว์ไม่มีผนังเซลล์ และไม่มีรงควัตถุ ที่ใช้ในการ สังเคราะห์แสง
สำหรับเซลล์แบคทีเรียมีความซับซ้อน ขององค์ประกอบ ภายในเซลล์ น้อยกว่าเซลล์สัตว์
และเซลล์พืชมาก เช่น ไม่มีเยื่อหุ้มสารพันธุกรรม และออร์แกเนลล์ต่างๆ เป็นต้น
รูปที่1 โครงสร้างเซลล์สัตว์เป็นเซลล์แบบยูคาริโอติก
รูปที่ 2 โครงสร้างเซลล์พืชเป็นเซลล์แบบยูคาริโอติก
รูปที่ 3 โครงสร้างเซลล์แบคทีเรียเป็นเซลล์แบบโปรคาริโอติก
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
การสลายกลูโกสระดับเซลล์
๑.ไกลโคไลซีส(glycolysis)และการหมักกรดแลกติกในกล้ามเนื้อมนุษย์
๒.การสร้างอะเซตติลโคเอนไซม์ เอ(Acetyl co.A)
สรุป ใช้ 1 กลูโกส / 2 ATP
ได้ 2 กรดไพรูวิก/ 2 NADH / 4 ATP(สุทธิได้ 2 ATP)
วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559
การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
สาเหตุการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
สาเหตุ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ที่เป็นผู้ดำเนินการ
สามารถระบุสาเหตุสำคัญๆ ได้ดังนี้
1.การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและบริโภค ที่ทำการเกษตรแบบมุ่งเน้นการค้า มีการผลิตสายพันธุ์เดียวโดยละทิ้งสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม มีการใช้สารเคมีมากขึ้นในการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช เกิดสารพิษตกค้างในดินและแหล่งน้ำ กระทบต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน และสัตว์น้ำ
2. การเติบโตของประชากรและการกระจายตัวของประชากร ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ
3. การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์นานาพันธุ์ เช่น การทำลายป่า การล่าสัตว์ การอพยพหนีภัยธรรมชาติของสัตว์
4. มีการนำมาทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ประโยชน์มากเกินไป
5. การตักตวงผลประโยชน์จากชนิดพันธุ์ของพืชและสัตว์ป่า เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยการค้าขายสัตว์และพืชป่าแบบผิดกฎหมาย
6. การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำลายสายพันธุ์ท้องถิ่น
7. การสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ และขยะ เป็นต้น
8. การเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของโลก เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล ภัยแล้งทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ การเกิดไฟป่า ในช่วงฤดูฝน เกิดปัญหาน้ำท่วม โคลนถล่ม เป็นต้น
9. การอ้างสิทธิบัตร เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรการผลิตสารแก้โรคกระเพาะจากต้นเปล้าน้อย ซึ่งเป็นพันธุ์พืชที่มีในประเทศไทย (สรุปข่าวสิ่งแวดล้อม ปี 2543)
10. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)ด้านการตัดต่อหน่วยพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอ (GMO; Genetically Modified Organisms) หรือพันธุวิศวกรรมศาสตร์ (genetic engineering)
1.การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและบริโภค ที่ทำการเกษตรแบบมุ่งเน้นการค้า มีการผลิตสายพันธุ์เดียวโดยละทิ้งสายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม มีการใช้สารเคมีมากขึ้นในการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช เกิดสารพิษตกค้างในดินและแหล่งน้ำ กระทบต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในดิน และสัตว์น้ำ
2. การเติบโตของประชากรและการกระจายตัวของประชากร ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ
3. การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์นานาพันธุ์ เช่น การทำลายป่า การล่าสัตว์ การอพยพหนีภัยธรรมชาติของสัตว์
4. มีการนำมาทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ประโยชน์มากเกินไป
5. การตักตวงผลประโยชน์จากชนิดพันธุ์ของพืชและสัตว์ป่า เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยการค้าขายสัตว์และพืชป่าแบบผิดกฎหมาย
6. การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำลายสายพันธุ์ท้องถิ่น
7. การสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ และขยะ เป็นต้น
8. การเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมของโลก เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล ภัยแล้งทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ การเกิดไฟป่า ในช่วงฤดูฝน เกิดปัญหาน้ำท่วม โคลนถล่ม เป็นต้น
9. การอ้างสิทธิบัตร เช่น ประเทศญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรการผลิตสารแก้โรคกระเพาะจากต้นเปล้าน้อย ซึ่งเป็นพันธุ์พืชที่มีในประเทศไทย (สรุปข่าวสิ่งแวดล้อม ปี 2543)
10. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)ด้านการตัดต่อหน่วยพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอ (GMO; Genetically Modified Organisms) หรือพันธุวิศวกรรมศาสตร์ (genetic engineering)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
เอกภพยุคอดีต
แบบทดสอบรายจุดประสงค์ วิชาโลกและดาราศาสตร์(สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์) เรื่องเอกภพ แบบจำลองเอกภพยุคอดีต ๑.แบบจำลองเอกภพชาว สุเมเรียน ๒.แบบ...
-
๑.ไกลโคไลซีส(glycolysis)และการหมักกรดแลกติกในกล้ามเนื้อมนุษย์ ๒.การสร้างอะเซตติลโคเอนไซม์ เอ(Acetyl co.A) สรุป ใช้ 1 กลูโ...
-
เซลล์ เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต แบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามลักษณะของการมีเยื่อหุ้มนิวเคลียสคือ - โปรคาริโอติกเซลล์ ( Protokaryotic ...